Русские видео

Сейчас в тренде

Иностранные видео


Скачать с ютуб สวดภาณยักษ์ ฉบับพระราชพิธีหลวง в хорошем качестве

สวดภาณยักษ์ ฉบับพระราชพิธีหลวง 4 года назад


Если кнопки скачивания не загрузились НАЖМИТЕ ЗДЕСЬ или обновите страницу
Если возникают проблемы со скачиванием, пожалуйста напишите в поддержку по адресу внизу страницы.
Спасибо за использование сервиса savevideohd.ru



สวดภาณยักษ์ ฉบับพระราชพิธีหลวง

#ภาณยักษ์ #พุทธศาสนา ท้าวเวสวัณ[1] (สันสกฤต: वैश्रवण Vaiśravaṇa ไวศฺรวณ; บาลี: वेस्सवण Vessavaṇa เวสฺสวณ) หรือ ท้าวเวสสุวรรณ เป็นเทพเจ้าแห่งยักษ์ เป็นหนึ่งในจาตุมหาราช ผู้คุ้มครองและดูแลโลกมนุษย์ สถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ทรงอิทธิฤทธิ์อานุภาพมากประทับ ณ โลกบาลทิศเหนือ ท้าวเวสวัณคือท้าวกุเวร ในศาสนาฮินดู คนไทยโบราณนิยมนำผ้ายันต์รูปยักษ์ผูกไว้ที่หัวเตียงเด็กเพื่อป้องกันวิญญาณชั่วร้ายไม่ให้มารังควานแก่เด็ก ท้าวกุเวรองค์นี้มีกล่าวถึงในอาฏานาฏิยปริตรว่านำเทวดาในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกามาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า และได้ถวายสัตย์ที่จะดูแลพระพุทธเจ้าและเหล่าสาวกไม่ให้ยักษ์หรือบริวารอื่น ๆ ของท้าวจตุโลกบาลไปรังควาน สารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่มที่ 3 หน้า 1439 กล่าวถึงท้าวกุเวรหรือท้าวเวสวัณไว้ว่า กุเวร-ท้าว พระยายักษ์ผู้เป็นเจ้าแห่งขุมทรัพย์มียักษ์ และคุยหกะ (ยักษ์ผู้เฝ้าขุมทรัพย์) เป็นบริวาร ท้าวกุเวรนั้น บางทีก็เรียกว่าท้าวไวศรวัน (เวสสุวรรณ) ภาษาทมิฬเรียก "กุเวร" ว่า "กุเปรัน" ซึ่งมีเรื่องอยู่ในรามเกียรติ์ว่า เป็นพี่ต่างมารดาของทศกัณฐ์ และทศกัณฐ์ไปแย่งบุษบกของท้าวกุเวรไป ท้าวกุเวรมีรูปร่างพิการผิวขาว มีฟัน 8 ซี่ และมีขาสามขา (ภาพท้าวเวสวัณจึงมักเขียนท่ายืนแยงแย ถือไม้กระบองยาว อยู่หว่างขา) เมืองท้าวกุเวรชื่อ "อลกา" อยู่บนเขาหิมาลัย มีสวนอุทยานอยู่ไหล่เขาแห่งหนึ่งของเขาพระสุเมรุ ชื่อว่า "สวนไจตรต" หรือ "มนทร" มีพวกกินนรและคนธรรพ์เป็นผู้รับใช้ ท้าวกุเวรเป็นโลกบาลประจำทิศเหนือ คนจีนเรียกว่า "โต้เหวน" หรือ "โต้บุ๋น" คนญี่ปุ่นเรียกว่า "พสมอน" ท้าวกุเวรนี้สถิตอยู่ยอดเขายุคนธรอีสานราชธานี มีสระโกธาณีใหญ่ 1 สระ ชื่อ ธรณี กว้าง 50 โยชน์ ในน้ำ ดารดาษไปด้วยประทุมชาติ และคลาคล่ำไปด้วย หมู่สัตว์น้ำต่างพรรณ ขอบสระมีมณฑปชื่อ "ภคลวดี" กว้างใหญ่ 12 โยชน์ สำหรับเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ ปกคลุมด้วยเครือเถาภควดีลดาวัลย์ ซึ่งมีดอกออกสะพรั่งห้อยย้อยเป็นพวงพู ณ สถานที่นี้ เป็นสโมสรสถานของเหล่ายักษ์บริวาร และยังมีนครสำหรับเป็นที่แปรเทพยสถานอีก 10 แห่ง ท้าวกุเวรมียักษ์เป็นเสนาบดี 32 ตน ยักษ์รักษาพระนคร 12 ตน ยักษ์เฝ้าประตูนิเวศ 12 ตน ยักษ์ที่เป็นทาส 9 ตน นอกจากนี้ยังมีกล่าวว่า ท้าวเวสวัณยังมีกายสีเขียว สัณฐานสูง 2 คาวุต ประมาณ 200 เส้น มีอาวุธเป็นกระบอง มีพาหนะ ช้าง ม้า รถ บางทีปราสาท อาภรณ์มงกุฎประดับรูปนาค ดำรงอิสริยศเป็นเจ้าแห่งยักษ์ มีบริวารแสนโกฏิ ถือโล่แก้วประพาฬ หอกทอง พระไพศรพณ์ ในประเทศไทยมีคติการบูชาท้าวเวสวัณอีกรูปแบบหนึ่ง โดยเรียกเทพเจ้าองค์นี้ว่า พระไพศรพณ์ ตามนามในภาษาสันสกฤต ไวศฺรวณ มือขวาถือตะบอง มือซ้ายยกเสมอหน้าอกแสดงการห้ามปรามมิให้(เทวดา)ทำผิด เนื่องจากมีหน้าที่รักษาความเรียบร้อยยุติธรรมในสวรรค์ ถูกนำมาเป็นสัญลักษณ์ของอัยการมานาน คาดว่าตั้งแต่แรกตั้งกรมอัยการเมื่อกว่า ๑๐๐ ปีมาแล้วเนื่องจากยกกระบัตร (ชื่อเรียกอัยการในสมัยโบราณ) หรืออัยการในปัจจุบันก็มีหน้าที่รักษาความยุติธรรมและกฎหมายเช่นเดียวกับหน้าที่ของพระไพศรพณ์ในสวรรค์ แต่ยังตรวจไม่พบหลักฐานว่าได้มีประกาศเป็นทางการให้ใช้รูปพระไพศรพณ์เป็นเครื่องหมายราชการของอัยการตั้งแต่เมื่อใด สัญลักษณ์ของอัยการ ตามพระราชกฤษฎีกาเครื่องแบบข้าราชการอัยการและระเบียบการแต่งกายฯ พ.ศ. 2524 กำหนดเครื่องแบบข้าราชการอัยการซึ่งรวมถึงเครื่องหมายที่ประดับอินทรธนู จึงตรวจสอบดูปรากฏคำว่า "รูปพระไพศรพณ์" เป็นโลหะสีทองซึ่งกฎหมายนี้กำหนดวิธีการใช้ ดังนี้ กรณีเครื่องแบบพิธีการ เช่น เครื่องแบบปกติขาว เครื่องแบบเต็มยศ ฯลฯ ให้ติดทับอยู่บนอินทรธนูค่อนมาทางด้านไหล่ สำหรับเครื่องแบบสีกากีคอพับ กับเครื่องแบบสีกากีคอแบะ ให้ประดับทับอยู่บนพื้นอินทรธนูภายในขมวดวงกลม ฐานของรูปพระไพศรพณ์อยู่เหนือแถบต้น (กรณีอัยการชั้น 3 ขึ้นไป) หรืออยู่บนแถบที่สองของอินทรธนู (กรณีอัยการชั้น 1 และชั้น 2) ต่อมาในปี พ.ศ. 2503 ได้มีกฎหมายออกมากำหนดให้ข้าราชการอัยการใช้เครื่องหมายนี้มาประดับบนอินทรธนูเพื่อบ่งแสดงให้เห็นว่าข้าราชการอัยการแตกต่างจากข้าราชการพลเรือน และต่อมาในปี พ.ศ. 2513 ก็ได้มีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีกำหนดให้ใช้รูปท้าวกุเวร (หรือท้าวเวสสุวรรณ) เป็นเครื่องหมายราชการของกรมสารวัตรทหารบกซึ่งเป็นหน่วยงานรักษาความสงบเรียบร้อยของฝ่ายทหาร ส่วนพระไพศรพณ์ยังคงเป็นสัญญลักษณ์ประดับบ่าเสื้อเครื่องแบบอัยการทั้งสองข้างตลอดมา และในปี พ.ศ. 2535 สำนักงานอัยการสูงสุดก็ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้รูปพระมหาพิชัยมงกุฎ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของตราแผ่นดินวางอยู่บนตราชั่งซึ่งเป็นเครื่องหมายของนักกฎหมาย ประกอบกับอีก 3 รูปรวมกันเป็นเครื่องหมายราชการของสำนักอัยการสูงสุด คือ พระแว่นสุริยกานต์ พระขรรค์ รองรับด้วยช่อชัยพฤกษ์ รูปตราใหม่นี้ถือเป็นเครื่องหมายราชการของหน่วยงานตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2535 ในวาระที่หน่วยงานของอัยการได้เปลี่ยนแปลงสถานะภาพจากหน่วยงานระดับกรมขึ้นกับกระทรวงมหาดไทย มาเป็นสำนักงานไม่สังกัดกระทรวง ส่วนพนักงานอัยการในปัจจุบันรัฐธรรมนูญและกฎหมายต่างๆได้ขยายบทบาทออกไปมาก รวมทั้งกำหนดหน้าที่อัยการไปถึงเรื่องทางการเมืองเพราะอัยการมีหน้าทีต้องอำนวยความยุติธรรมทางการเมืองด้วยนั่นเอง

Comments